วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
'' วิกฤตวัยกลางคน '' มีบทความมาให้อ่าน เผื่อจะมีประโยชน์บ้าง
แปะไว้อ่าน เพื่อย้ำให้เข้าใจ.....เพื่อที่เราจะยอมรับว่าทุกอย่างมีเหตุและผลของมันเอง และอายุเราต้องก้าวไปถึงจุดนั้นอยู่ดี...
Cr.นพ.ธรรมนาถ เจริญบุญ/ http://pantip.com/topic/33948924
เราก็เพิ่งจะได้ยินคำนี้เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง และอายุย่างเข้า 38-39 ก็วัยกลางคนแล้วเหมือนกัน ผ่านอะไรมาไม่มากแต่ก็ไม่น้อย ไม่กี่ปีมานี้คนในครอบครัว พ่อ แม่ พี่ชาย ทยอยตายจากไป งานที่คิดว่าเป็นคนไฟแรงทุ่มเทเมื่องานพลิกผันก็หมดใจ เกาะยึดครอบครัวที่ร่วมสร้างมาเป็นที่พึ่งทางใจ เมื่อไม่มีงานก็ยังเหลือครอบครัวแต่สุดท้ายเจอคนรักมีกิ๊กเจ็บปวดไม่น้อย ลูกไม่ใช่ข้ออ้างแต่มันคือความจริง
ถ้าหากเราเคยอ่านบทความหรือรู้จักคำนี้มาก่อน อาจไม่ต้องตัดสินผิดพลาดในบางสิ่งก็ได้ แต่ใครจะไปรู้อนาคต อยู่อย่างมีสติใช้ใจรักษาใจจะดีกว่าไหม ท่านใดเคยอ่านบทความกล้ายๆกันนี้ก็ต้องขอโทษด้วย เผื่อเป็นประโยชน์กับท่านที่ยังไม่เคยอ่าน
ลิ้งค์ที่มาจาก นพ.ธรรมนาถ เจริญบุญ
http://health.haijai.com/3175/
วิกฤตวัยกลางคนหรือที่ภาษาอังกฤษใช้ว่า “midlife crisis” คืออะไร? หากจะพูดแบบขำๆ หลายคนมักนึกถึงการที่ผู้ใหญ่วัยกลางคนเกิดลุกมาทำอะไรบ้าๆ แบบไม่คาดฝัน เช่น หย่ากับภรรยา มีเมียน้อย ลาออกจากงาน ประจำไปเปิดร้านกาแฟ หรือเอาเงินเก็บทั้งหมดไปซื้อรถสปอร์ตสีแดง เป็นต้น
วิกฤตวัยกลางคนคืออะไร
วิกฤตวัยกลางคน คือ การที่ผู้ใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 35-50 ปี เกิดคิดทบทวนหรือประเมินชีวิตตัวเองอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นด้านการงาน ชีวิตคู่ ความสุขในชีวิต หรือเรื่องอื่นๆ ซึ่งการคิดทบทวนนี้มักถูกกระตุ้นมาจากการตระหนักว่า ชีวิตนี้เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว และเราควรจะประสบความสำเร็จ (หรือมีความสุข) ได้แล้ว
สิ่งที่ต้องเข้าใจ คือ วิกฤตวัยกลางคนนั้นไม่ใช่โรค และไม่ใช่ความผิดปกติทางการแพทย์ แต่เป็นปรากฏการณ์ปกติทางจิตวิทยาที่พบได้ในคนวัยนี้ โดยนักวิชาการส่วนหนึ่งก็ใช้คำว่า “ช่วงเปลี่ยนผ่านของวัยกลางคน” (midlife transition)O แทนคำว่า “วิกฤตวัยกลางคน” เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีอาการระดับที่ควรจะเรียกว่า “วิกฤต” แต่อย่างใด มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่อาจทำอะไรหุนหันพลันแล่นจนสร้างปัญหาให้กับชีวิตหรือเกิดโรคซึมเศร้า
เพราะอะไรชีวิตถึงมาวิกฤตกันช่วงอายุนี้
ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากพบว่าในช่วงอายุ 35-50 ปีนี้ เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเข้ามาในชีวิต ได้แก่
• การเสื่อมของร่างกาย ในวัยนี้ร่างกายจะเริ่มเสื่อมลงไม่แข็งแรงเท่ากับตอนวัยรุ่น และเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง หลายคนรู้สึกได้เลยว่า ตัวเองไม่ฟิตเท่าเดิม เริ่มอ้วน หัวเริ่มล้าน เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นช่วงอายุที่เริ่มมีโรคประจำตัวมากขึ้น
• ฮอร์โมนเปลี่ยน โดยในผู้หญิงจะเห็นได้ชัดเจนกว่าผู้ชาย ผู้หญิงหลายคนในวันนี้ จะเริ่มเข้าสู่ช่วงหมดประจำเดือน ทำให้มีอาการของคนที่กำลังจะเข้าวัยทอง (perimenopausal syndrome)
• ต้องการความสำเร็จ ในวัยผู้ใหญ่สิ่งสำคัญในชีวิต นอกจากชีวิตครอบครัว ก็คือเรื่องของการทำงาน ซึ่งในคนส่วนใหญ่ตอนอายุยี่สิบต้นๆ จะเป็นช่วงที่พึ่งเริ่มทำงาน ยังเรียนรู้ลองผิดลองถูก มักไม่ได้จริงจังมากในเรื่องความสำเร็จก้าวหน้า แต่ในวัยที่เกิน 35 ปี ซึ่งทำงานมาแล้วเป็นสิบปี คนส่วนใหญ่จึงต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้
• ตระหนักได้ว่าเวลาของเราเหลืออีกไม่มาก ช่วงนี้หลายคนจะเริ่มรู้สึกว่า “เฮ้ย เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะ” “อีกสิบกว่าปีก็เกษียณแล้ว” (หรือ “อีกสิบกว่าปี ก็อาจจะตายแล้ว”) เราควรจะต้อง “ทำอะไร” แล้ว
• การสูญเสียของคนใกล้ชิด ช่วงอายุนี้มักพบเหตุการณ์ที่คนใกล้ชิดเสียชีวิตได้บ่อย ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือเพื่อนฝูง
สังเกตอย่างไรว่าเรากำลังอยู่ในช่วงวิกฤตวัยกลางคน (ไม่ใช่ดูแค่ตัวเลขอายุนะค่ะ)
อาการเด่นก็คือ ความคิดที่สับสนกับชีวิต รู้สึกไม่พอใจในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ชีวิตคู่ ที่อยู่อาศัย หรือสุขภาพ และตามมาด้วยความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงในด้านของอารมณ์ที่พบได้บ่อย ก็จะเป็นอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หรือซึมเศร้า โดยในคนที่เป็นมากมักจะแสดงออกให้เห็นชัด ผ่านการกระทำที่รุนแรง และกะทันหัน เช่น มีความคิดว่างานที่ทำอยู่ช่างไม่มีความสุขเอาซะเลย! ว่าแล้วก็ลาออกจากงานประจำมาเปิดร้านกาแฟ คิดว่าคู่ชีวิตของเราตอนนี้ “มันไม่ใช่อ่ะ!!” แล้วก็ขอหย่ากับภรรยา หรือคิดว่าบ้านที่อยู่ตอนนี้ “มันไม่เวิร์คเอาซะเลย!!” แล้วก็ทุ่มเงินซื้อบ้านใหม่ เป็นต้น
รังที่ว่างเปล่า (Empty-nest syndrome)
มีอีกคำที่มักถูกพูดถึงในช่วงวิกฤตวัยกลางคนก็คือ “Empty-nest syndrome” หรือที่ผมขอแปลเองว่า “รังที่ว่างเปล่า” (หรือ “รังไร้นก”) ซึ่งเป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่ง ที่พบได้ในช่วงอายุนี้ ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อลูกๆ ต้องออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น ไม่ว่าจะไปเรียน แต่งงาน หรือทำงานที่อื่น ทำให้พ่อหรือแม่เกิดความรู้สึกเหงา หรือเศร้า ซึ่งภาวะนี้มักเป็นมากในผู้ที่มีหน้าที่หลักคือการดูแลลูก ผูกพันติดกับลูกมาก หรือในคู่ที่ยังยอมคงชีวิตคู่ไว้ เพราะ “อยู่เพื่อลูก” (หมายถึงการที่สามีภรรยาที่ทะเลาะกันและใจจริงอยากที่จะหย่า แต่ทนอยู่ด้วยกันเพื่อลูก) การที่ลูกออกจากบ้านไป จะทำให้เกิดความเหงา เศร้า ไม่รู้จะทำอะไร รู้สึกตัวเองไม่มีค่า ทำให้คนที่ปรับตัวไม่ได้ อาจเกิดโรคซึมเศร้าตามมาได้
แนวทางการจัดการกับวิกฤตวัยกลางคน
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า วิกฤตวัยกลางคนคืออะไรแล้ว คราวนี้มาดูกันครับว่า เราจะมีแนวทางป้องกันแก้ไขอย่างไร ไม่ให้มันกลายเป็น “วิกฤตในชีวิต” ไปจริงๆ
• เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งสำคัญแรกสุดคือ เราต้องเข้าใจภาวะนี้ก่อนว่าคืออะไร เมื่อรู้จักก็จะช่วยให้เรารู้ตัวและนำไปสู่การจัดการแก้ไขได้อย่างเหมาะสมต่อไป
• ปรึกษาผู้อื่นเสมอในเรื่องที่สำคัญ ที่จริงการคิดทบทวนประเมินชีวิตของตัวเอง และอยากที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร บางครั้งอาจเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ แต่ที่มักทำให้เกิดปัญหาคือการตัดสินใจอย่างหุนหัน ในเรื่องที่สำคัญจนเกิดความเสียหายตามมา ดังนั้น ทุกการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของชีวิต เช่น หย่า ลาออก ใช้เงินจำนวนมาก ควรต้องให้เวลาในการคิดไตร่ตรองอย่างรอบครอบ และปรึกษาผู้อื่นเสมอ การได้พูดคุยกับคนอื่น (ที่สามารถให้คำปรึกษาได้) จะช่วยให้เรามองเห็นว่า สิ่งที่เราจะทำมันสมเหตุสมผลแค่ไหน เพื่อที่จะลดโอกาสที่จะตัดสินใจผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด
• ออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายจะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ทำให้สุขภาพแข็งแรง และป้องกันการเป็นโรคซึมเศร้าได้ ยิ่งวัยนี้เป็นวัยที่ ตามธรรมชาติสุขภาพจะเริ่มเสื่อมลง และเกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย การออกกำลังกายจึงเป็นเรื่องสำคัญและมีประโยชน์อย่างมาก
• หากิจกรรมทำทดแทน เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะในกรณี “รังที่ว่างเปล่า” เพราะนั่นคือการที่เราเปลี่ยนสถานะจากผู้ที่ทำงาน “ดูแลลูก” กลายเป็นผู้ “ว่างงาน” ลูกไม่อยู่ให้ดูแลแล้ว ดังนั้น จึงต้องหากิจกรรมอื่นทำทดแทนงานเดิม เพื่อไม่ให้เบื่อและเศร้า โดยกิจกรรมนั้นอาจจะเป็นการออกกำลังกาย การไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง การเข้าร่วมชมรมต่างๆ หรือทำงานการกุศล เป็นต้น
วิกฤตวัยกลางคน หรือการเปลี่ยนผ่านช่วงวัยกลางคน เป็นภาวะปกติที่พบได้ในคนวัยผู้ใหญ่ทั่วไป การเข้าใจถึงสภาวะนี้และวิธีปฏิบัติตัวจะช่วยให้ “วิกฤตวัยกลางคน” ไม่กลายเป็น “วิกฤต” จริงๆ และทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขสืบเนื่องต่อไป ^^
รู้ไหม? ไม่มีชาติไหนที่ให้ความสำคัญกับข้าวกล่อง (Bento) เท่าญี่ปุ่นเล๊ยยยย
ข้าวกล่องญี่ปุ่น (Bento) จริงๆ มีที่มานา ^^
Kyaraben หรือ Charaben (ภาษาญี่ปุ่น: キャラ弁) หรือเรียกยาว ๆ ว่า Character Bento (ภาษาญี่ปุ่น: キャラクター弁当) เป็นเบนโตะสไตล์ต่าง ๆ ซึ่งจะตกแต่งเป็นบุคคล ตัวการ์ตูน สัตว์ หรือดอกไม้ ที่ชื่นชาว ซึ่งชาวญี่ปุ่นนิยมที่จะทำเบนโตะเป็นมื้ออาหารกลางวันให้กับครอบครัว
ซึ่งก่อนหน้าที่จะเป็นที่นิยมขนาดนี้ เบนโตะในลักษณะนี้จะทำเพื่อดึงดูดเด็ก ๆ และฝึกลักษณะนิสัยการกินที่ดีให้กับเด็ก ๆ แต่ในปัจจุบันนั้นเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากทั้งในประเทศญี่ปุ่น และผู้คนทั่วโลก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)